ภาษี กับ ความตาย

“ตายแล้ว ทำไมยังต้องเสียภาษี”

        ยังเป็นคำถามอีกข้อที่หลายๆคนยังคงไม่รู้ และเป็นเรื่องที่น่าสงสัย เมื่อร่างกายก็ตายไปแล้ว เหลือแค่เพียงจิตวิญาณ ก็ยังต้องไปเสียภาษีอีกหรอ? วันนี้ ANC จะมาอธิบายให้คลายข้องสงสัยไปพร้อมๆกันค่ะ

ใครต้องมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

1. บุคคลธรรมดา 

2. ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล        

3. ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี

4. กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

5. วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

 

จากที่อ่านมาทั้งหมด 5 ข้อ ว่าใครบ้างที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เชื่อว่าหลายๆคนก็เข้าใจว่า บุคคลธรรมดา ก็คือ บุคคลทั่วไป หรือ บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่พออ่านมาถึงข้อที่ 3 แล้วนั้น 

 

ตายแล้วทำไมยังต้องเสียภาษี?

แม้ตามกฏหมายจะมีชื่อว่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แตไม่ได้แปลว่าการสิ้นสภาพบุคคลไปแล้ว จะทำให้ภาระภาษีที่มีอยู่ก่อนตายสิ้นสุดลงไปด้วย

ดังนั้น ทายาทจึงต้องรับสิทธิและหน้าที่ของผู้ตายในการยื่นแบบเสียภาษีต่อสรรพากร

ตัวอย่างเช่น นายก. เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่มีรายได้ประมาณ 50,000 ต่อเดือน แถมมีมรดกตกทอดจากพ่อเป็นห้องพักให้เช่า มีรายได้ต่อเดือนอีก 50,000 บาท

แต่วันนึงก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด นายก.เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตทันที 

 

 

ดังนั้นคำถามใครเป็นผู้เสียภาษี?

คำตอบคือ นาย ก. 

ก็จะต้องเป็นหน้าที่ของบุคคลข้อที่ 3 คือ ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี

ซึ่งผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี

บุคคลธรรดาที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีแต่ถึงแก่ความตายก่อนถึงกำหนดยื่นรายการเงินได้

กฎหมายยังถือว่ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีอยู่ ทายาท ผู้จัดการมรดก หรือผู้ครอบครองทรัพย์สิน

ต้องยื่นแบบเงินได้เพื่อเสียกาษีแทนในนามผู้ตาย “ในปีที่ถึงแก่ความตายเพียง 1 ปี “

แล้วหลังจากที่นาย ก. ไม่ได้รับเงินเดือนแล้ว ยังต้องเสียภาษีอีกไหม?

หลังจากตายแล้ว ถ้าห้องพักให้เช่ายังทำรายได้อยู่ แล้วและยังไม่มีการแบ่งมรดกในส่วนตรงนี้

นาย ก. ก็ยังมีภาระต้องเสียภาษีอยู่ ก็จะเป็นตามข้อที่ 4 ที่เรียกว่า “กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง” นั่นเอง

ดังนั้นต่อให้ตายไปแล้ว การเสียภาษียังเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่ หากเราบริหารหรือจัดการเรื่องการเงินไม่ได้ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังได้

Write A Comment