เนื่องในวันที่ 9 มกราคม 2564 จะเป็น วันเด็กแห่งชาติ แต่ว่าปีนี้สถานการณ์ไม่ค่อยจะดีนัก เช่นในเรื่องของ ไวรัส Covid-19 ทำให้ความสนุกสนานหลาย ๆอย่างต้องยุติลง รวมถึงกิจกรรมวันเด็กในสถานที่ต่าง ๆด้วยเช่นกัน แต่อยากจะเตือนคุณพ่อคุณแม่ว่า ไม่ได้มีแค่Covid-19 เท่านั้นที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ยังมีโรคที่ลูกน้อยของเราควรระวังอีกด้วย วันนี้ทางประกัน.com ของเราได้นำ 8 โรคฮิตที่”เด็ก”เป็นบ่อยที่สุด มาฝากกันเพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันอีกด้วย
1.โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ Enterovirus เด็กที่ป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก ส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากอาการไข้ ซึ่งอาจจะไข้ต่ำหรือไข้สูงก็ได้ และจะมีแผลในปาก มีผื่นที่มือที่เท้า ส่วนใหญ่แผลในปากเราพบเกิดได้หลายตำแหน่ง ตั้งแต่บริเวณของเพดานแข็งเพดานอ่อนหรือบางคนก็พบที่กระพุ้งแก้มหรือที่ลิ้น บางคนเป็นเยอะก็จะลามออกมาที่ริมฝีปากหรือรอบ ๆ ริมฝีปากเลยก็มี ส่วนผื่นที่มือที่เท้า ส่วนใหญ่จะเป็นตุ่มแดง ๆ หรือบางครั้งก็เป็นตุ่มน้ำใสบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า ง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า เป็นต้น บางคนเป็นแผลเยอะ และทำให้เจ็บปาก รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ ถ้าเกิดว่ามีอาการเพลียมาก รับประทานอาหารไม่ได้ควรไปโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือด แพทย์รักษาตามอาการ จนกว่าจะมีแรง และ สามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้น ก็สามารถกลับบ้านได้
2.โรคปอดบวมในเด็ก
โรคปอดบวม เป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจที่เกิดการอักเสบของเนื้อปอดส่วนปลายสุด หรือการอักเสบของถุงลมเล็ก ๆ ทำให้การแลกเปลี่ยนอากาศภายในถุงลมไม่ดี ทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เสียชีวิตได้มาก โดยเฉพาะถ้าเป็นเด็กที่เกิดมาน้ำหนักตัวน้อย เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เด็กขาดสารอาหาร หรือเด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด
- ในระยะแรก หรือไม่รุนแรง : มีอาการไข้สูง ไอ หายใจเร็ว ควรพาไปรับการรักษาจากแพทย์ อาจให้ยาปฏิชีวนะติดต่อกัน 5 – 7 วัน เพื่อรักษาการอักเสบของปอด
- ในภาวะป่วยหนัก หรือรุนแรง : จะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ คือ ไม่ยอมกินนมหรือน้ำ ซึมมาก ปลุกตื่นยาก หายใจมีเสียงดัง หายใจแรงจนชายโครงบุ๋ม ควรได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
ในเด็กเล็กๆ จะต้องหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากผู้ใหญ่ที่เป็นโรคไอ โดยไม่ให้อยู่ใกล้ชิดหรือคลุกคลีกับผู้ป่วย นอกจากนี้ สิ่งแวดล้อมที่ทำให้เป็นหวัดและปอดบวมได้ง่าย คือการอยู่ในบ้านที่มีคนสูบบุหรี่ บ้านที่ใช้ฟืนหุงต้มอาหารและมีควันในบ้าน ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 4 – 6 เดือน เด็กต้องได้รับการฉีดวัคซีนคุ้มกันโรคตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข
3.ไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever หรือ dengue shock syndrome) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ไข้เลือดออกเดงกี (dengue virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ จัดอยู่ในกลุ่ม flavivirus และสามารถแพร่ได้โดยมียุงลายเป็นพาหะ
ไข้เลือดออกมักพบในวัยเด็ก และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ก็จะช่วยให้หายเช่นกัน ซึ่งอาการของโรคได้แก่ ไข้ขึ้นสูง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง พบจ้ำเลือดหรือจุดเลือดสีแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง หากพบเด็กมีอาการไข้สูงหลายวัน ให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ โรคไข้เลือดออกไม่ได้พบเพียงเฉพาะในเด็กเท่านั้น แต่สามารถพบได้ในทุกกลุ่มอายุ
4.โรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายๆ ผ่านการจาม ไอ และสัมผัสตุ่มแผลโดยตรง โดยอาการของเด็กที่เป็นอีสุกอีใสจะมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น และกลายเป็นตุ่มน้ำใสหรือตุ่มหนอง ตามตัว แขนขา และหลัง ซึ่งโรคนี้จะไม่มียารักษา ตุ่มจะแห้งตกสะเก็ดและหายไปเอง แต่ถ้าอาการรุนแรง หอ ชัก ควรส่งตัวเด็กให้แพทย์ทันที
5.โรคไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส อาการจะรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไป จึงต้องระวังอาการเป็นพิเศษ เช่น มีไข้สูง ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ไอแห้ง เจ็บคอและน้ำมูกไหล คลื่นไส้ อาเจียนและท้องเสีย นอกจากนี้ไข้หวัดใหญ่ยังทำให้เกิดโรคหลอดลมฝอยอักเสบ และโรคปอดบวม ส่วนการรักษาจะใช้ยา Tamiflu และฉีดวัคซีน จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน และลดอาการเจ็บป่วยได้
6.โรคหัด
โรคหัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Measles ติดต่อกันได้ง่ายผ่านการจาม ไอ หรือพูดในระยะใกล้ๆ เพราะเชื้อไวรัสสามารถอยู่ในอากาศ เมื่อเด็กหายใจเข้าไปก็ทำให้เกิดโรคหัด โดยอาการเริ่มแรกจะมีไข้สูง ไอแห้ง เป็นหวัด ตาแดง เบื่ออาหาร และมีผื่นตุ่มแดงเล็กๆ ทั้งตัว วิธีรักษาโรคหัด จะเน้นรักษาตามอาการเหมือน โรคไข้หวัด เช่น ทานยาลดไข้ ยาแก้ไอ ดื่มน้ำเยอะ พักผ่อนให้เพียงพอ แต่เด็กบางคนอาจมีอาการไอมาก เสมหะสีเหลืองเขียว หรือหายใจหอบ ให้รีบพาไปหาหมอทันที
7.ไวรัส RSV
ไวรัส RSV คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ชื่อภาษาอังกฤษคือ Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ทำให้ร่างกายผลิตเสมหะออกมาจำนวนมาก ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้มีมานานหลาย 10 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันเริ่มมาเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นเนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้ มักจะก่อให้เกิดอาการรุนแรงในเด็กเล็ก
วิธีสังเกตอาการว่าติดเชื้อไวรัส RSV หรือไม่
เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส RSV ระยะเริ่มต้นนั้นใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 3-6 วัน หลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา เริ่มจากการมีน้ำมูก จาม ไอ ทำให้ คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองรู้ตัวช้า ดังนั้นจึงต้องคอยสังเกตอาการของลูกหลานอย่างใกล้ชิด และต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มด้วย เช่น อยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ไอ จาม มีเสมหะจำนวนมาก หายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าหลอดลมตีบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ
วิธีการป้องกัน
ผู้ปกครองสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV ในบุตรหลานได้โดยการพยายามให้เด็ก ๆ ล้างมือให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดต่อทางการสัมผัส ใส่หน้ากากอนามัยในที่ที่คนพลุกพล่าน ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ ให้เด็กดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อลดภาวะขาดน้ำและช่วยขับเสมหะออกจากร่างกาย แต่ถ้าหากเป็นเด็กเล็กที่ยังไม่หย่านม ก็สามารถให้เด็กดูดนมได้มากที่สุดตามต้องการ แยกอุปกรณ์และภาชนะต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคน ไม่ควรใช้ร่วมกัน
เห็นแบบนี้คุณพ่อคุณแม่รู้แล้วใช่ไหม ว่าไม่ได้มีแค่ Covid-19 เท่านั้นที่เราต้องเฝ้าระวังให้ลูกน้อย แต่ยังมีโรคต่าง ๆที่มากมายที่เราต้องคอยดูแล และในวันเด็กปีนี้อาจเป็นเรื่องดีที่กิจกรรมต่าง ๆได้ยุติไปเพราะจะได้ไม่เป็นการแพร่กระจายโรคให้ในตัวเด็ก แต่สิ่งที่พ่อแม่ทำทดแทนให้เด็ก ๆได้ก็คือ ประกันสุขภาพเด็ก ซึ่งประกัน “ลูกรักสุดคุ้ม” จะช่วยคุ้มครองโรคที่เกิดกับเด็กและยังช่วยทำให้คุณพ่อคุณแม่อุ่นใจไม่ว่าจะค่าใช้จ่ายหรือการดูแลขึ้นอีกด้วย เบี้ยประกันเริ่มแค่ 4600.-
สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก